ในยุคที่ “AI เข้ามาเปลี่ยนเกมการสรรหา” หลายองค์กรเริ่มเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีที่ช่วยให้การคัดเลือกคนไวขึ้น
แต่คำถามสำคัญคือ… “เราจะใช้ AI อย่างไรให้ได้ คนที่ใช่จริง ๆ ไม่ใช่แค่ เร็วกว่าเดิม?”
คำตอบอยู่ที่การผสาน “Human + AI” สูตรใหม่ของการสรรหายุคดิจิทัล ที่ไม่ใช่ให้ AI คัดแทนคน แต่ให้คนใช้ AI เป็นเครื่องมือเสริมการตัดสินใจ บนพื้นฐานของข้อมูลจริงและความเข้าใจใน Capability ของผู้สมัคร
การเริ่มต้นที่ถูกต้อง ต้องตั้งต้นจาก “Role Profile” ที่ชัดเจน
ก่อนให้ AI เริ่มคัดใครออกหรือผ่าน สิ่งสำคัญที่สุดคือการ ออกแบบ Role Profile ให้ชัดเจน
เพราะ AI ไม่รู้ว่า “ใครคือคนที่ใช่” หากเราไม่กำหนดเกณฑ์ที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น
องค์กรที่ใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพจึงต้องเริ่มจากคำถามว่า
- “เราต้องการคนแบบไหน?”
- “งานนี้ต้องใช้สมรรถนะ (Capability) ด้านใดบ้าง?”
- “ความสามารถไหนคือสิ่งที่แยกคนทำได้ดี กับคนที่ยังไม่พร้อม?”
การมี Role Profile ที่แม่นยำไม่เพียงช่วยให้ AI เข้าใจ “คุณสมบัติเป้าหมาย” แต่ยังช่วยให้ทีมสรรหาสามารถใช้ข้อมูลจาก AI มาสนับสนุนการตัดสินใจบนหลักฐาน ไม่ใช่ความรู้สึก
อ่านเพิ่มเติม: ทำไมการสรรหายุคใหม่ต้องมองให้ลึกกว่า Profile แต่ต้องดูไปถึง Capability
Human + AI คนและเทคโนโลยีที่ทำงานผสานกัน
การใช้ AI ในการสรรหาที่ดีที่สุด ไม่ใช่การ “แทนที่คน” แต่คือการ “ปลดล็อกสมรรรถนะของคน”
AI ช่วยทำงานหนักในส่วนที่ใช้เวลาเยอะ เช่น การอ่าน Resume หลายร้อยฉบับ การคัดกรองเบื้องต้น หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพฤติกรรม ขณะที่ Recruiter สามารถโฟกัสกับสิ่งที่ AI ทำไม่ได้ เช่น
- การพูดคุยเชิงลึกเพื่อเข้าใจแรงจูงใจของผู้สมัคร
- การสร้าง Candidate Experience ที่ดี
- ออกแบบ Onboarding ที่ตอบโจทย์การทำงานแบบใหม่
ดังนั้น “Human + AI” คือ การทำงานร่วมกันอย่างสมดุล — ให้ AI ช่วยจัดเตรียมข้อมูลที่แม่นยำ ส่วนมนุษย์ใช้ทักษะความเข้าใจคน เพื่อการตัดสินใจที่มีมิติและความเป็นมนุษย์
ลด Bias จาก Human-First Screening ด้วยข้อมูลที่เป็นกลาง
หนึ่งในปัญหาที่องค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญคือ “Human Bias” ในการคัดเลือกคน
เช่น การให้ค่าน้ำหนักกับมหาวิทยาลัย ชื่อบริษัทเดิม หรือรูปแบบ Resume ที่ชอบ Design มากกว่า ทั้งที่สมรรถนะจริงอาจไม่ได้ต่างกัน
AI ที่ถูกออกแบบอย่างรอบคอบช่วยให้กระบวนการนี้เป็นธรรมขึ้น เพราะถูกใส่ Input ให้มอง “ข้อมูลเชิงสมรรถนะ (Capability Data)” มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว เช่น ความสามารถในการสื่อสาร การแก้ปัญหาเชิงระบบ หรือการทำงานภายใต้แรงกดดัน
ผลลัพธ์ คือ การคัดเลือกที่โปร่งใส ยุติธรรม และเปิดโอกาสให้ “คนเก่งที่อาจไม่ใช่ talent แบบปกติที่เราตามหา” ได้แสดงสมรรถนะอย่างแท้จริง
AI ทำงานหนักแทนคน เพื่อให้คนทำงาน “เชิงกลยุทธ์มากขึ้น”
แทนที่ Recruiter จะใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับการอ่าน Resume
ให้ AI สามารถช่วยกรองผู้สมัครเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็ว พร้อมจัดลำดับ “ความเหมาะสมตาม Capability”
ตัวอย่าง เช่น
ระบบ AI Prescreening ของ TalentSphere ช่วยให้ HR สามารถเห็นภาพรวมของผู้สมัครแต่ละคนในรูปแบบ Capability Score — ความพร้อมในการทำงานตามหน้างานที่กำหนดไว้
ทำให้ HR และ Manager มีเวลาเพิ่มขึ้นในการโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่า เช่น การออกแบบ Candidate Journey, การสื่อสาร Employer Brand หรือการพูดคุยกับผู้สมัครที่มีคุณภาพจริง
ใช้ Human + AI อย่างไรให้ได้ผลในองค์กรของคุณ
- เริ่มจากการนิยามบทบาท (Define Role): ให้ชัดเจนว่าแต่ละตำแหน่งต้องการ Capability อะไร
- ใช้ AI เพื่อค้นหาและจัดลำดับ (AI Assist): ไม่ใช่ตัดสินแทน แต่ให้ข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ
- เปิดโอกาสให้คนตัดสินใจด้วยข้อมูล (Human Decision): ใช้ผลการประเมินเป็นฐานสนทนา ไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย
- ติดตามผลและปรับปรุง (Iterate): วิเคราะห์ความแม่นยำของ AI เทียบกับผลลัพธ์จริง เพื่อพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และอย่าลืมว่า... AI จะ “ฉลาดเท่าที่เราตั้งโจทย์ได้ดี” เท่านั้น
Human + AI คืออนาคตของการสรรหา
การสรรหายุคใหม่ไม่ได้อยู่ที่ “ใครเร็วกว่ากัน” แต่อยู่ที่ “ใครเข้าใจ Capability ของคนได้ลึกกว่ากัน”
Human + AI คือการรวมข้อดีของทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน — AI ทำให้แม่น, Human ทำให้เหมาะ
และเมื่อทั้งสองทำงานร่วมกันอย่างลงตัว คุณจะได้ “คนที่ใช่ตั้งแต่วันแรก” พร้อมลดความเสี่ยงในการจ้างผิด และสร้างทีมที่พร้อมเติบโตไปกับองค์กรในระยะยาว
เริ่มต้นวางระบบการสรรหายุคใหม่ของคุณได้ที่
👉 ดาวน์โหลด Future-Ready Recruitment Checklist ฟรี
คลิ้กอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม
- Capability-Based Hiring: คัดคนที่ 'ทำงานได้จริง' ไม่ใช่แค่คำสวยหรูที่เขียนไว้ใน CV
- ทำไมการสรรหายุคใหม่ต้องมองให้ลึกกว่า Profile แต่ต้องดูไปถึง Capability
- อยากได้ Top Talent รุ่นใหม่ องค์กรต้องเปลี่ยนวิธีเลือกคนอย่างไร (tips & tricks)



