5 Core Capability ที่ใช่แห่งโลกการทำงานยุคใหม่ อยู่สายไหนก็พร้อมชน

TalentSphere
November 14, 2025
5 min read

ในโลกการทำงานที่มี “ทักษะ” ใหม่ ๆ เกิดขึ้นแทบทุกไตรมาส องค์กรและพนักงานต้องพร้อมปรับตัวให้ทัน

วันนี้สิ่งที่องค์กรต้องการจากคนทำงาน ไม่ใช่แค่โปรไฟล์ที่สวยงามหรือประสบการณ์ที่ยาวเป็นหน้า ๆ อีกต่อไป แต่คือ Capability ที่พร้อมพาองค์กรไปต่อในทุกสถานการณ์

ไม่ว่าคุณจะอยู่สายงานไหน HR, Sales, Marketing, Operations, Finance หรือ Tech บอกเลยว่า Capability เหล่านี้สำคัญอย่างมาก

Transferable Capability คือ “กล้ามเนื้อหลัก”

ที่ทำให้คุณพร้อมย้ายสาย ปรับบทบาท หรือชนงานใหม่ได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่เสมอไป

ในบทความนี้ TalentSphere รวบรวม 5 Core Capability ที่พบว่า “ไม่ว่าคุณอยู่ Role ไหน ก็พร้อมชน”

มัดรวม Transferable Capability ทำงานสายไหนก็สำคัญในอนาคตการทำงาน

1. Future Learning Velocity Capability

“เรียนรู้ให้ไว ครึ่งหนึ่งของงาน คือ การเรียนรู้ใหม่อยู่เสมอ”

โลกงานวันนี้ทักษะมีอายุสั้นเหลือเพียง 2–3 ปี สิ่งที่เคยทำได้ดีอาจไม่เพียงพอเมื่อองค์กรเปลี่ยนกลยุทธ์หรือเทคโนโลยีเข้ามาแทนที่บาง Task อย่างรวดเร็ว
Future Learning Velocity คือ ความสามารถในการ เรียนรู้ไว ปรับตัวเร็ว และลงมือทำสิ่งใหม่ได้อย่างมั่นใจ

ทำไมจึงสำคัญ

  • เพราะ AI ทำให้งานมนุษย์เปลี่ยนทุกไตรมาส
  • เพราะบริษัทต้องการคนที่ “เรียนรู้ได้ต่อเนื่อง” ไม่ใช่เพียง “ทำงานเก่งในสิ่งที่เคยทำ”
  • เพราะ Learning Agility คือ Predictors อันดับต้น ๆ ของผู้นำในอนาคต

แนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนา Future Learning Velocity Capability

  • ใช้ AI แนะนำคอร์สหรือเส้นทางการเรียนรู้ตามความต้องการของบทบาทงาน
  • สร้างวัฒนธรรมที่อนุญาตให้ “ลอง-ผิด-ลองใหม่” ได้โดยไม่กลัวความผิดพลาด
  • มอบหมายงานแบบ Stretch Assignment ข้ามทีมเพื่อขยายขีดความสามารถ

2. Human–AI Mastery Capability

“รู้จังหวะใช้ AI แบบเป็นทีม เสริมกันให้ไปได้ไกลกว่าเดิม”

ทักษะ AI ไม่ใช่ของคนสาย Tech อีกต่อไป ทุกอาชีพตั้งแต่ HR, Marketing, Operations ไปจนถึง Sales ล้วนต้อง “ทำงานร่วมกับ AI” ไม่ว่าจะเป็นด้านข้อมูล การตัดสินใจ หรือการสร้างผลงานที่ไวกว่าเดิมหลายเท่า

ยุคถัดไปไม่ได้วัดกันที่ “ใครใช้ AI เป็น” แต่เป็น ใครใช้ AI ได้คุ้มค่าและเหนือกว่า

  • ทุกตำแหน่งงานจะต้องใช้ AI ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็น Productivity, Automation หรือการตัดสินใจ
  • พนักงานต้องรู้ว่า “งานไหนให้ AI ทำแทน” และ “จะควบคุม ตรวจสอบ หรือ Prompt อย่างไรให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด”
  • ทีมที่มี AI Fluency ทำงานเร็วกว่า แม่นกว่า และตัดสินใจบนข้อมูลจริงได้มากกว่า
  • คนที่ไม่สามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลจะกลายเป็น “ช่องโหว่ของทีม”

แนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนา Human-AI Mastery Capability

  • ตั้งเป้าหมายให้แต่ละทีม Automate อย่างน้อย 1–2 งานที่ทำซ้ำ
  • จัดพื้นที่ Sandbox ให้ทดลองใช้ AI ได้อย่างปลอดภัย
  • สร้างบทบาท Digital Champion ในแต่ละแผนก

องค์กรจำนวนมากเริ่มคัดคนจากความสามารถนี้ตั้งแต่ Day 1 ผ่านเครื่องมืออย่าง AI prescreening ของ TalentSphere ซึ่งคัดคนได้ตรงบริบทกว่า resume screening แบบ keyword (อ่านเพิ่ม:
👉 https://www.talentsphere.ai/post/human-ai-new-hiring-formula-in-modern-recruitment-process)

3.Strategic Problem Navigation Capability

“มองเห็นปัญหาได้ลึก และแก้ได้ตรงจุด”

ยุคนี้บริษัทไม่ได้ต้องการคน “เก่งทำ” แค่คนที่ “เก่งคิด” และคาดการณ์สถานการณ์ได้ก่อนที่ปัญหาจะปะทุขึ้น
Strategic Problem Navigation คือการ วิเคราะห์ได้ทันทีว่าปัญหานี้คืออะไร เกิดจากอะไร และทางไหนคือทางออกที่คุ้มค่าที่สุด

ความสำคัญในอนาคต

ในวันที่งานประจำจำนวนมากถูก AI ทำแทน มนุษย์ต้องเก่งขึ้นในสิ่งที่ AI ยังทำไม่ได้:
คิดเชิงระบบ วิเคราะห์เชิงลึก แก้ปัญหาที่ไม่มีสูตรสำเร็จ

  • งานรูปแบบ Routine จะหายไป เหลืองานวิเคราะห์และตัดสินใจมากขึ้น
  • องค์กรเจอปัญหาที่ “ไม่มีต้นแบบมาก่อน” เช่น เทคโนโลยีใหม่ ลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม Hybrid Work
  • คนทำงานต้องรู้ว่าการตัดสินใจหนึ่งครั้งส่งผลต่อ ลูกค้า → ต้นทุน → กระบวนการ → ทีม อย่างไร

แนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนา Strategic Problem Navigation Capability

  • ฝึก Framework การแก้ปัญหา เช่น 5 Whys, A3, Issue Tree, Systems Thinking
  • ตั้งทีม Cross-functional Squad (ขาย + ปฏิบัติการ + ผลิตภัณฑ์ + HR) ให้คิดร่วมกัน
  • ส่งเสริมการตัดสินใจบนข้อมูลด้วย Dashboard และ Root Cause Analysis
  • สอนผ่าน Case Study, Simulation และสถานการณ์สมมติ
  • ทำ Retrospective เพื่อเรียนรู้จากสิ่งที่ทำได้ดีและสิ่งที่ต้องพัฒนา

4. Change Resilience Capability

“ปรับทันตลอด ไม่หวั่นแม้บริบทเปลี่ยนเร็วกว่าแผนงานไตรมาสหน้า”

ทักษะนี้ไม่ได้หมายถึงแค่ “ไม่เครียดเวลามีการเปลี่ยนแปลง” แต่คือความสามารถในการ ยืนหยัด, ปรับตัว, และยังคง perform ได้ดี ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

ความสำคัญในอนาคต

อนาคตเต็มไปด้วยความผันผวนจาก AI, เศรษฐกิจ, ความคาดหวังของลูกค้า และโลกการทำงานแบบใหม่

  • การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นตลอดเวลา
  • คนที่มี Resilience จะรักษาประสิทธิภาพได้แม้เจอแรงกดดัน
  • ทีมที่ปรับตัวเก่งจะเคลื่อนองค์กรได้เร็วกว่า และลดแรงต้านได้มากกว่า
  • ผู้นำยุคใหม่ต้องมี Emotional Intelligence สูงเพื่อประคองทีมช่วงไม่แน่นอน

แนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนา Change Resilience Capability

  • สร้างวัฒนธรรม Psychological Safety ให้คนกล้าถาม กล้าขอความช่วยเหลือ
  • สื่อสารการเปลี่ยนแปลงอย่างโปร่งใสและเป็นขั้นตอน
  • หมุนเวียนงานหรือสภาพแวดล้อมเพื่อฝึกความยืดหยุ่น
  • ตั้งกิจกรรม Reflection รายสัปดาห์ และ Daily Check-in เพื่อดูแลสุขภาพใจทีม

องค์กรยุคใหม่ที่วิ่งเร็วแบบ Agile ต้องการคนลักษณะนี้ในทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะผู้บริหาร

5. High-Impact Communication Capability

“สื่อสารเพื่อสร้างผลลัพธ์ ไม่ใช่แค่ส่งผ่านข้อมูล”

การทำงานรูปแบบ hybrid, cross-functional และ global team ทำให้ “สื่อสารให้เข้าใจ” ไม่พออีกต่อไป แต่ต้อง สื่อสารให้ขับเคลื่อนงาน
ควบคู่กับการร่วมงานแบบเชื่อมโยงหลายฝ่าย

ความสำคัญในอนาคต

ในโลกที่ทีมกระจายตัว ทำงานข้ามประเทศ ข้ามเจเนอเรชัน และทำงานร่วมกับ AI
การสื่อสารที่ชัดเจนและการร่วมมือที่มีพลัง คือความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ขององค์กร

  • Hybrid Work ทำให้ Miscommunication เกิดขึ้นง่ายและเสียต้นทุนสูง
  • ขณะที่ AI จัดการ “ข้อมูล” มนุษย์ต้องรับบทเป็น “ผู้ตีความ–ผู้โน้มน้าว–ผู้เชื่อมโยง”
  • Collaboration คือ หัวใจของนวัตกรรมและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

แนวทางใหม่ ๆ ในการพัฒนา High-Impact Communication Capability

  • สอนเทคนิคการสื่อสารแบบมีโครงสร้าง เช่น SBAR, Situation–Impact–Next Step
  • ใช้ Ritual เพื่อเชื่อมทีม เช่น Daily Standup, Cross-team Sync, Shared Dashboard
  • ใช้เครื่องมือ Collaboration เช่น Notion, Asana, Teams พร้อมกติกาใช้งานที่ชัดเจน
  • ให้ผู้นำเป็น Role Model ของความโปร่งใส ความชัดเจน และความเชื่อใจ

ทำไม Recruiter ควรคัดคนจาก “5 Core Capability” ตั้งแต่ต้นทาง?

เพราะ Capability ช่วยให้องค์กร “คัดคนที่พร้อมเติบโตในอนาคต” แทนที่จะคัดเฉพาะคนที่ “ทำงานเดิมได้ดีเท่านั้น”

ประโยชน์ที่เห็นได้ทันที:

  • ลดความเสี่ยงในการจ้างผิด (เพราะดูวิธีคิด ไม่ใช่แค่ประสบการณ์ที่ผ่านมา)
  • คัดได้แม่นยำขึ้นแม้ผู้สมัครไม่ได้จบตรงสาย
  • ได้ Talent ที่พร้อม Reskill หรือย้ายสายงานในอนาคต
  • เพิ่มคุณภาพ Candidate Pool โดยไม่ติดกรอบของ resume
  • ทำให้ Hiring Manager ตัดสินใจเร็วขึ้น เพราะเห็น “ภาพรวมความพร้อมทำงานจริง”

หากองค์กรต้องการเปลี่ยนวิธีสรรหาให้ลึกกว่าโปรไฟล์ ลองเริ่มจาก Future-Ready Recruitment Checklist ที่ TalentSphere สร้างขึ้นสำหรับองค์กรไทยยุคใหม่
👉 https://www.talentsphere.ai/post/free-download-future-ready-recruitment-checklist-template

สำหรับ Recruiter และ Hiring Manager นี่คือสัญญาณสำคัญว่าการคัดคนยุคใหม่ควรเริ่มจาก “ความสามารถที่ย้ายข้ามบทบาทได้” ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งที่เขาเคยทำมาก่อน

และนี่คือ “5 กล้ามเนื้อหลัก” ที่ทำให้คนทำงานไม่ต้องกลัวว่าบทบาทจะเปลี่ยน หรือ AI จะมาแย่งงาน เพราะพวกเขามีทักษะที่พร้อมพาองค์กรวิ่งต่อได้จริง

และนี่คือเหตุผลว่าทำไมองค์กรจึงต้องยกระดับวิธีคัดเลือกตั้งแต่ต้นทาง ด้วย Capability-first Recruitment + Human–AI Screening แบบ TalentSphere ที่ช่วยให้ Recruiter คัดคนได้เร็วขึ้น ตรงขึ้น และเห็นศักยภาพที่แท้จริงได้ตั้งแต่วันแรก

ถ้าคุณต้องการทีมที่ “พร้อมชนทุกบริบท”เริ่มต้นจากการคัดคนด้วย Capability คือคำตอบ

คลิ้กอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม