6 Leadership Trends 2026: ผู้นำยุคใหม่ต้องพัฒนา Capability อะไรบ้าง?

TalentSphere
November 25, 2025
5 min read

ผู้นำกำลังเข้าสู่ “ยุคเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่” เพราะการเปลี่ยนแปลงแบบทวีคูณ

ปี 2026 ไม่ได้เป็นเพียงอีกหนึ่งปีที่องค์กรต้องปรับตัว แต่เป็นปีที่ “บทบาทของผู้นำ” จะถูกทดสอบมากที่สุดครั้งหนึ่ง เพราะ Landscape ของโลกธุรกิจหมุนเร็วกว่าเดิมแบบทวีคูณ

- AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่เข้ามาอยู่ในทุกงานที่มีการตัดสินใจ

- ความคาดหวังของพนักงานเปลี่ยนจาก “งานมั่นคง” ไปสู่ “งานที่สนับสนุนชีวิต”

- ความซับซ้อนของงานเพิ่มขึ้นจนการบริหารแบบเดิมไม่ทันต่อสถานการณ์อีกต่อไป

ในเวลาเดียวกัน องค์กรกำลังเผชิญปรากฏการณ์ใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน เช่น

  • ความเร็วของการเปลี่ยนทักษะ (Skill Half-life) ลดลงเหลือเพียง 2–3 ปี
  • ทีมงานหนึ่งทีมมีทั้ง Gen Z ถึง Gen X ที่มีแรงจูงใจต่างกัน
  • ความเหนื่อยล้าจาก Organization Transformation อย่างต่อเนื่อง
  • AI เริ่มเข้ามาร่วม “ตัดสินใจ” เคียงข้างผู้นำในระดับยุทธศาสตร์

เมื่อภาพรวมเปลี่ยนเร็วขนาดนี้ ผู้นำที่เคย “เก่งงาน” อย่างเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป

ผู้นำยุคใหม่ต้องเก่ง “การนำคนในบริบทยุคใหม่” และเก่ง “การนำทีมร่วมกับ AI” ไปพร้อมกัน ซึ่งคือเหตุผลที่หลายองค์กรเริ่มหันกลับมาประเมิน Capability ของผู้นำ มากกว่าแค่ Profile หรือประสบการณ์เดิม ๆ ผ่านเครื่องมือแบบใหม่

เช่น ระบบประเมินสมรรถนะ (Capability Assessment) หรือ Leadership Assessment เพื่อช่วยทำความเข้าใจพฤติกรรมที่จำเป็นต่ออนาคตของงานอย่างแท้จริง
อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Capability ที่งานยุคใหม่ต้องมี

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึก 6 Leadership Trends 2026 ที่องค์กรควรเตรียมตั้งแต่วันนี้

พร้อมวิธีที่องค์กรสามารถนำไปใช้ได้จริง

แต่ทำไม Leadership แบบเดิมยังมีความท้าทายอยู่

แม้ผู้นำหลายคนจะมีประสบการณ์สูง แต่หลายองค์กรรายงานตรงกันว่าผู้นำกำลังเผชิญปัญหาเดิมซ้ำ ๆ

  • ทีมขาดแรงจูงใจและพลังงาน
  • พนักงานรู้สึกไม่ได้รับการสื่อสารชัดเจน
  • การเปลี่ยนทักษะเกิดขึ้นเร็ว แต่ผู้นำยังไม่พร้อมจะนำการเปลี่ยนแปลง
  • ความละเอียดอ่อนทางสังคม (Social Sensitivity) กลายเป็นความคาดหวังใหม่

รวมถึง มีปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนบทบาท ได้แก่

1) การทำงานร่วมกับ AI กลายเป็น New Normal

‍ทุกวันนี้ คนไม่ได้ตื่นตะระหนกในการใช้ AI ในการทำงานแล้ว แต่เป็นจะใช้ยังไงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และถูกจริยธรรม

2) Skill Half-life สั้นลงเหลือ 2–3 ปี

สกิลที่เคยใช้ได้ 5–7 ปี กลายเป็นมีอายุสั้นลงครึ่งหนึ่ง
ผู้นำที่ไม่ปรับตัวเป็นเหตุให้ทีมไม่ปรับตัวตาม เพราะ “ทีมเรียนรู้แบบที่ผู้นำเรียนรู้”

3) Workforce เปลี่ยนจาก Work-First → Life-Architecture

ผู้คนไม่ได้ต้องการแค่สวัสดิการดี แต่ต้องการงานที่ช่วยออกแบบชีวิตได้
ผู้นำที่ไม่เข้าใจแรงจูงใจแบบใหม่ จะทำให้ Engagement ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

6 Leadership Trends 2026 ที่ผู้นำต้องเร่งพัฒนา

Trend 1: Human-AI Leadership

ผู้นำต้องรู้ว่าควรใช้ AI อย่างไรให้คุ้มค่า ไม่ใช่แค่ใช้งานเป็น

ในปี 2026 โลกของงานได้เข้าสู่ยุคที่ AI ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่เป็น “ผู้ร่วมงาน” ที่อยู่ในทุกจุดของการตัดสินใจ ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงงานเชิงกลยุทธ์ ความเร็วของเทคโนโลยีและประสิทธิภาพของ Generative AI ทำให้ผู้นำไม่สามารถพึ่งพาความเชี่ยวชาญแบบเดิมได้อีกต่อไป ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในอนาคตไม่ใช่คนที่ใช้ AI เก่งเท่านั้น

แต่คือคนที่รู้ว่า “ควรใช้มันตรงไหนเพื่อเพิ่มคุณค่า และไม่ควรใช้ตรงไหนเพื่อปกป้องคุณภาพของการตัดสินใจ”

โลกที่ข้อมูลล้น ความเสี่ยงสูง และการแข่งขันเกิดขึ้นแบบ Real-Time ทำให้ Human–AI Leadership เป็นหัวใจหลักของการบริหารยุคใหม่

ผู้นำต้องเข้าใจว่าควรตั้งคำถามกับ AI อย่างไร ควรพิสูจน์ผลลัพธ์แบบไหน และควรสร้างกรอบการใช้ AI ที่รับผิดชอบต่อทั้งธุรกิจและคนในทีม

ทำไมถึงมาแรงในปี 2026?

  • การนำ AI มาใช้ในองค์กรพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • รายงานอีกฉบับของ McKinsey ประเมินว่า Generative AI สามารถเพิ่มศักยภาพ Productivity ให้เศรษฐกิจโลกได้ถึง 4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี จาก use case ฝั่งองค์กร McKinsey & Company
  • ผู้นำใช้ AI เยอะกว่าพนักงานมาก: งานศึกษาหนึ่งพบว่า 87% ของผู้บริหารใช้ AI ในงานประจำ เทียบกับเพียง 27% ของพนักงานทั่วไป ซึ่งสะท้อน “ช่องว่าง” การใช้ AI ระหว่างระดับบริหารกับคนหน้างาน Business Insider

แปลว่า ปี 2026 ถ้า “ผู้นำ” ใช้ AI แค่ระดับ Gadget ไม่รู้วิธีออกแบบ Workflow, การตัดสินใจ หรือการ Reskill ทีม → องค์กรจะ “ใช้ AI ไม่คุ้มค่า”

Capabilities หรือสมรรถนะ ที่ผู้นำต้องมี

  • AI Literacy & Human–AI Teaming
  • Data-Informed Decision Making
  • Ethical & Governance Mindset ด้านการใช้ AI

แนวทางต่อไปในเรื่อง Human-AI Leadership

  • ใช้ Leadership Assessment หรือ แบบประเมินสมรรถนะ วัด Capability ด้าน Human–AI Mastery:
    • เข้าใจ AI ทำอะไรได้/ ไม่ได้
    • วางโจทย์และตั้งคำถามกับ AI ได้
    • รู้วิธี Verify Output และจัดการความเสี่ยง
  • ดีไซน์ Leadership Development Program ที่ฝึกผู้นำบน “Real AI use cases” เช่น
    • ให้ลอง Redesign Process พร้อม AI
    • ให้ทำ Decision-Making Simulation ที่มีข้อมูลจาก AI ผสมกับ Judgement
  • ตั้ง AI Governance role หรือ AI Champion ในระดับ Leadership เพื่อกำกับการใช้ AI ให้สอดคล้องกลยุทธ์และจริยธรรม

Trend 2: Energy Stewardship

ผู้นำต้องบริหารพลังงานคนในทีม ไม่ใช่เพียงบริหาร Performance ของทีมเท่านั้น

เมื่อความเครียด ความไม่แน่นอน และ Digital Workload สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2020–2025 ปี 2026 กลับกลายเป็นจุดที่องค์กรต้องยอมรับว่า Burnout ไม่ใช่ปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นปัญหาธุรกิจ


พนักงานทำงานหนักขึ้นแต่ไม่ได้มีพลังมากขึ้น มองหาความหมายของงานแต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม

Hybrid work ทำให้ทีมกระจัดกระจาย ขณะที่ความคาดหวังของลูกค้าและความเร็วของธุรกิจเพิ่มขึ้นทุกวัน ผู้นำที่มองเห็น “ตัวเลข” แต่ไม่เห็น “พลังงานของคน” จะสร้างผลงานได้เพียงระยะสั้น แต่ได้ความเหนื่อยล้าระยะยาวเป็นของแถม

Energy Stewardship คือ ความสามารถใหม่ที่ผู้นำต้องมี

การอ่านพลังงานของทีม การออกแบบงานให้มีจังหวะ การรู้ว่าทีมต้องเร่งตรงไหน ผ่อนตรงไหน สงสัยตรงไหน และต้องช่วยตรงไหน นี่คือหัวใจของผู้นำที่สร้างทีมที่ “พร้อมไปต่อ”


ในปี 2026 “พลังงานของทีม” จึงกลายเป็นตัววัดคุณภาพผู้นำที่แท้จริง

ทำไมถึงสำคัญมากขึ้นในปี 2026?

  • Gallup รายงานว่า เพียง 21% ของพนักงานทั่วโลกมี Engagement สูง และ Disengagement ทำให้เศรษฐกิจโลกสูญเสีย Productivity หลายแสนล้านดอลลาร์ Gallup.com
  • ขณะเดียวกัน งานของ Gallup และรายงานต่อยอดอื่น ๆ ชี้ว่า 58% ของคนทำงานทั่วโลกบอกว่าพวกเขา “กำลังดิ้นรน" และ 41% รายงานว่ามีความเครียดสูงในแต่ละวัน stylus.com+1
  • สถิติเรื่อง Burnout บางแหล่งระบุว่า อย่างน้อย 76% ของพนักงานเคยประสบกับ burnout ในระดับหนึ่ง Create & Grow

ปี 2026 คือปีที่องค์กรเริ่มตระหนักว่า “ผู้นำที่เก่งงานแต่ทำทีมหมดไฟ” เป็น Risk ทั้งด้าน Performance และ Retention

Capabilities หรือสมรรถนะที่ต้องเสริม

  • Emotional Intelligence & Empathy
  • Coaching & Listening Skills
  • Team Energy Management

แนวทางการปรับใช้เรื่อง Energy Stewardship

  • ใช้ Leadership assessment วัดมิติเรื่อง
    • ความสามารถในการบริหารพลังงานของทีม
    • การให้ Feedback แบบ Supportive
    • การ Manage workload / Priority
  • ฝึกผู้นำให้ใช้ Energy Rituals เช่น
    • Weekly Check-In ที่ไม่ถามแค่งาน แต่ถามในเชิงบรรยากาศทีมโดยรวม ว่ายังมีไฟอยู่ไหม ต้องการความช่วยเหลือตรงไหนหรือไม่
    • การออกแบบ Sprint / Cool-Down Period
  • วาง KPI สำหรับผู้นำ ที่ไม่ใช่แค่ยอดงาน แต่รวม Employee Engagement หรือ Wellbeing Indicator ด้วย

Trend 3: High-Impact Communication

ผู้นำต้องสื่อสารแบบกระชับ ชัดเจน และปรับได้หลายบริบท

การทำงานยุคใหม่เต็มไปด้วยข้อมูลนับพัน ประชุมสั้น ๆ หลายรอบ ข้อความที่ถูกส่งทั้งใน Slack, Line, Teams และ Email พร้อมความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผู้นำที่ไม่สามารถสื่อสารให้ชัดเจน เข้าใจง่าย และสอดคล้องทุกบริบท จะทำให้ทีมใช้เวลาไปกับการตีความมากกว่าการลงมือทำ


ในปี 2026 เมื่อองค์กรจำนวนมากทำงานแบบ Cross-Functional และ Distributed Workforce สิ่งที่เคยเป็นเพียง Soft Skill ได้กลายเป็น “ข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของผู้นำ”


High-Impact Communication ไม่ได้หมายถึงการพูดเก่ง แต่คือ ศิลปะของการ “สร้างความชัดเจนในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือ” การรู้ว่าจะ Simplify อย่างไร การรู้ว่าจะสร้าง Narrative อะไรเพื่อขับเคลื่อนการตัดสินใจ และการรู้ว่าคนแต่ละกลุ่มต้องการอะไรจากการสื่อสาร


เมื่อองค์กรต้องการความเร็ว และความสอดคล้องในการสื่อสารที่กระชับและมีพลังจึงกลายเป็น Capability หลักของผู้นำยุคต่อไป

Capabilities หรือสมรรถนะ ที่ต้องเน้น

  • Clarity in Communication
  • Storytelling with Data
  • Adapting Message to Audience (frontline, executive, cross-functional)

แนวทางการปรับใช้เรื่อง High-Impact Communication ในองค์กร

  • รวมมิติ High-Impact Communication เข้าไปใน Leadership Capability Model และใช้ แบบประเมินสมรรถนะ วัด:
    • ความชัดเจนในการให้ Direction
    • ความสามารถในการ Simplify เรื่องซับซ้อน
    • ความถี่และคุณภาพของ 1:1 / Team communication
  • ฝึกผู้นำผ่าน
    • Situational-Based Assessment (เช่น ลองสื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ อาทิ ใน Townhall, crisis update, strategy cascade)
    • Feedback 360 องศาเรื่อง “เราเข้าใจสิ่งที่หัวหน้าสื่อสารไหม”

Trend 4: Rapid Reskilling Leadership

ผู้นำที่พาทีม Reskill ได้เร็ว คือ ผู้นำที่รอดในปี 2026

ปี 2026 คือ ปีที่ความเร็วของ AI ทำให้งานในแทบทุกสายงาน “เปลี่ยนไปก่อนที่คู่มือใหม่จะถูกเขียนเสร็จ” สิ่งที่องค์กรต้องการไม่ใช่ผู้นำที่สั่งการเก่ง แต่คือผู้นำทีมีวิสัยทัศน์กว้างไกล มองออกว่า Skill อะไรที่ทีมต้องมีในอีก 6–12 เดือนข้างหน้า และรู้วิธี “เตรียมทีมให้พร้อมก่อนที่ความเปลี่ยนแปลงจะมาถึง”


Rapid Reskilling Leadership เกิดขึ้นเพราะความจริงที่ว่า ครึ่งหนึ่งของทักษะในงานปัจจุบันจะไม่เพียงพอสำหรับงานในปีหน้า ผู้นำที่ยึดติดกับความสำเร็จแบบเดิม จะทำให้ทีมล้าหลัง คนเก่งออก และองค์กรเสี่ยงสูง


ในขณะที่ผู้นำที่ Reskill ทีมได้เร็ว จะ Unlock ความสามารถใหม่ ๆ ในทีมแบบรวดเร็ว แม่นยำ และลดค่าใช้จ่ายการจ้างงานเพิ่ม
นี่จึงกลายเป็นหนึ่งใน Capability ใหม่ของผู้นำยุค AI ที่น่าจับตามอง

ทำไม 2026 คือ จุดที่ผู้นำต้องหันมาจับตามอง Skill ที่กำลังมามากขึ้น

  • รายงาน Future of Jobs 2023 จาก WEF ระบุว่า 6 ใน 10 คนทำงานจะต้องได้รับ Training ใหม่ภายในปี 2027 แต่มีเพียงครึ่งหนึ่งที่เข้าถึง Training ที่เพียงพอจริง ๆ World Economic Forum
  • รายงานรุ่นใหม่คาดว่า ประมาณ 39% ของ Core Skills ของพนักงานจะเปลี่ยนไปภายในปี 2030 จากผลของเทคโนโลยีและ AI World Economic Forum
  • McKinsey พบว่าเกือบ 40% ขององค์กรที่ใช้ AI คาดว่ามากกว่า 20% ของ Workforce ของตนจะต้องถูก Reskill ภายใน 3 ปีข้างหน้า McKinsey & Company

นั่นแปลว่า หากผู้นำ “ไม่ขยับ Reskilling Agenda” องค์กรจะมีพนักงานที่ Skill พัฒนาไม่ทันการเปลี่ยนแปลง

Capabilities หรือสมรรถนะ ที่ต้องมี

  • Learning Agility (ของตัวผู้นำเอง)
  • Workforce Foresight มองออก และติดตามเทรนด์ ว่า Skill ไหนจะต้องมีในอีก 2–3 ปี
  • Capability-Based Talent Development (ไม่ใช่แค่ส่งคอร์สเหมารวม)

แนวทางในการพัฒนาเรื่อง Rapid Reskilling Leadership

  • ใช้ Capability Assessment วัดสมรรถนะพนักงานปัจจุบัน:
    • มี Capability อะไรที่เป็น Strength / Gap สำหรับงานในอนาคต
  • สร้าง Capability Map เชื่อมโยง
    • Strategy → Role → Capabilities → Learning Path
  • ให้ผู้นำมี Reskilling Dashboard ดูได้ว่าทีมของตัวเอง
    • ขาด Capabilities อะไร
    • ใครควรเข้าโปรแกรม Upskill / Reskill ไหน
  • ผูก Leadership KPI เข้ากับ % ของทีมที่ได้พัฒนา Capability ใหม่ ๆ (ไม่ใช่แค่จำนวนอบรม)

Trend 5: Social Sensitivity & Inclusion Leadership

ผู้นำที่เข้าใจความหลากหลายของคน เข้าใจสังคม และสร้างพื้นที่ที่ทุกคนรู้สึก Belong

ปี 2026 คือปีที่ Workforce หลากหลายที่สุดในประวัติศาสตร์ องค์กรหนึ่งอาจมี Baby Boomers, Gen X, Millennials และ Gen Z ร่วมงานกันในทีมเดียว พร้อมผู้คนที่มีภูมิหลัง มุมมอง และความคาดหวังต่างกันอย่างมาก

ความไวต่อสังคม (Social Sensitivity) และความสามารถในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกคนรู้สึกว่ามีคุณค่า (Inclusion) ไม่ใช่เรื่องภาพลักษณ์ขององค์กรอีกต่อไป แต่เป็น เครื่องมือสำคัญในการรักษาคนเก่ง เพิ่ม Performance และสร้างนวัตกรรม


การเข้าใจความรู้สึกของคนกลุ่มต่าง ๆ การรู้ว่าควรใช้คำแบบไหน และการรู้จักจัดการ Bias ของตัวเอง คือ ความสามารถที่ผู้นำยุคใหม่ต้องแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม
องค์กรในปี 2026 จะเติบโตได้เร็วที่สุดก็ต่อเมื่อผู้นำสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้ “ทุกเสียงมีที่ยืน” และ “ทุกความแตกต่างเพิ่มคุณค่าต่อทีม”

Capabilities  หรือสมรรถนะ ที่ผู้นำต้องมี

  • Social Awareness และ Cultural Intelligence
  • Inclusive Communication & Decision Making

แนวทางในการพัฒนาเรื่อง Inclusion Leadership

  • เพิ่ม Inclusion & Social Sensitivity เข้าไปใน leadership Capability Framework
  • ใช้ 360 leadership assessment เพื่อดูว่าผู้นำ
    • ให้โอกาสที่เท่าเทียมแค่ไหน
    • รับฟังเสียงส่วนน้อยหรือไม่
    • เคยมีพฤติกรรมที่ทำให้ใครรู้สึกไม่ Belong หรือไม่
  • ผูก DEI Outcomes กับ Leadership Development เช่น
    • ให้ผู้นำทำ Inclusive Projects (cross-generation teams, cross-gender, cross-background)
  • สื่อสารชัดว่า DEI ไม่ใช่ Project ของ HR แต่เป็น ความรับผิดชอบของผู้นำทุกคน

Trend 6: Cross-Boundary Collaboration

ผู้นำต้องทำงานข้ามทีม ข้ามฟังก์ชัน และข้ามวัฒนธรรมอย่างไร้รอยต่อ

ปี 2026 ทุกองค์กรล้วนขับเคลื่อนด้วยโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างหลายฟังก์ชัน เช่น Product × Data × HR × Operations การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ “ทีมไหนเก่งที่สุด” แต่คือ “ทีมไหนทำงานร่วมกันได้ลื่นที่สุด”


Cross-Boundary Collaboration จึงกลายเป็นหัวใจของผู้นำยุคใหม่ เพราะการทำงานที่ซับซ้อนขึ้นทำให้ผู้นำต้องบริหาร Stakeholder ที่หลากหลาย ประสานคนจากหลายสายงาน และดึง expertise ที่ต่างกันมาสร้างผลลัพธ์เดียวกัน

ทำไมในปี 2026 เรื่อง Cross-Boundary Collaboration กลายเป็น Survival Skill?

  • McKinsey พบว่า transformation ที่เน้น “Team-Centric Approach” โดยเฉพาะทีมที่ Cross-Functional ชัดเจน สามารถสร้าง ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นถึง 30% ในองค์กรที่ทำได้ดี McKinsey & Company
  • เทรนด์งานยุคใหม่ คือ Cross-Functional Teams ที่ต้องอาศัยความสามาถรถของผู้นำในการผลักดันทีม

Capabilities หรือสมรรถนะ ที่ผู้นำต้องมี

  • Systems Thinking มองเห็นภาพรวมทั้งระบบ ไม่ใช่ Silo
  • Collaboration & Influencing
  • Conflict Management เชิง Constructivist

แนวทางในการพัฒนาเรื่อง Cross-Boundary Collaboration

  • สร้าง Cross-Functional Leadership Programs ให้ผู้นำไปทำ Project ร่วมกันข้ามสายงาน
  • ใช้ แบบประเมินสมรรถนะ เพื่อดูว่าใครมี Capability ด้านดังกล่าว
    • Collaboration
    • Openness
    • Stakeholder Management
  • ปรับ OKR / KPI ผู้นำให้รวม Cross-Team Outcomes เช่น
    • Joint OKR ระหว่าง BU
    • Reward ทีมที่ช่วยกันมากกว่าแข่งขันกัน
  • ออกแบบ โครงสร้างทีม ที่ “บังคับ Collaboration” ในบางโปรเจค

วิธีนำ 6 Leadership Trends ไปใช้จริงภายในองค์กร

1) เริ่มด้วยการประเมิน Leadership Capability ก่อน

องค์กรควรรู้ก่อนว่าผู้นำมีความสามารถในระดับใด สามารถใช้ ระบบประเมินสมรรถนะ เให้คะแนนแบบ Evidence-based และเทียบกับ  ได้

2) ทำ Role-Based Development

ผู้นำแต่ละระดับ และแต่ละสายงานต้องการ Capability หรือสมรรถนะ คนละแบบ ไม่ใช่สูตรเดียวกันทั้งหมด

3) ออกแบบ Leadership Learning Path

เชื่อมโยง Capability หรือสมรรถนะ ที่จำเป็น พร้อมกับ Report ระดับบุคคล เพื่อต่อยอดสู่ Development Plan

4) นำ AI มาเป็นส่วนหนึ่งของ Leadership Coaching

ให้ผู้นำทดลองทำงานแบบ Human–AI Teaming ตั้งแต่วันนี้ เช่น เกลี่ยงานว่า งานใดจำเป็นต้องแบ่งให้ตคนทำ งานใดสามารถ Automate ให้ AI ทำได้เลยเพื่อให้ทีมสามารถมีเวลาทำงานเชิงกลยุทธ์อื่น ๆ ได้


Q&A – คำถามที่พบบ่อย

Q1: ผู้นำที่อายุงานมากจำเป็นต้องเรียนใหม่ทั้งหมดหรือไม่?


A: ไม่จำเป็น แต่จำเป็นต้องเปิดรับและสร้างทักษะใหม่เพิ่ม โดยเฉพาะ Human–AI Leadership และ High-impact communication

Q2: องค์กรขนาดเล็กต้องทำทั้งหมดนี้ไหม?

A: สามารถนำไปปรับใช้ตามสมควร แต่ต้องเข้าใจว่า Leadership Capability แบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป

Final Thoughts ปี 2026 คือ ปีที่บทบาทผู้นำจะต้องปรับตัวครั้งใหญ่

ไม่ใช่เพราะโลกเปลี่ยนเร็ว แต่เพราะงานเปลี่ยนโครงสร้างไปแล้วโดยสมบูรณ์ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของงานทุกวัน ความคาดหวังของทีมเปลี่ยนไป และการสื่อสารแบบเดิมไม่เพียงพออีกต่อไป

องค์กรที่ลงทุนพัฒนาผู้นำตั้งแต่วันนี้จะสร้างข้อได้เปรียบที่คู่แข่งตามไม่ทันโดยอัตโนมัติ
และการเริ่มต้นที่ดีที่สุด คือ ประเมิน Leadership Capability แบบ Evidence-based และนำไปพัฒนาในระดับบุคคลและกลุ่มอย่างจริงจัง

TalentSphere ช่วยองค์กรประเมินผู้นำได้อย่างแม่นยำด้วยระบบ AI-powered Capability Assessment ที่พัฒนาเฉพาะสำหรับบทบาทผู้นำยุคใหม่

ดูรายละเอียดระบบประเมินสมรรถนะ TalentSphere

คลิ้กอ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม