อยากได้ Top Talent รุ่นใหม่ องค์กรต้องเปลี่ยนวิธีเลือกคนอย่างไร (tips & tricks)

TalentSphere
October 22, 2025
5 min read

อยากได้ Top Talent รุ่นใหม่ องค์กรต้องเปลี่ยนวิธีเลือกคนยังไง?

เพราะคนเก่งยุคนี้ไม่ได้วัดกันที่ใบปริญญา — แต่ที่ “ศักยภาพในการสร้างผลลัพธ์จริง”

ทำไม “สูตรการคัดคนแบบเดิม” ถึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป

ในยุคที่เทคโนโลยีขับเคลื่อนทุกอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว และเส้นทางอาชีพของคนรุ่นใหม่ไม่เป็นเส้นตรงอีกต่อไป คำถามที่ผู้บริหารหลายคนเริ่มตั้งคือ —

“เรายังเลือกคนเก่งด้วยวิธีเดิมได้อยู่ไหม?” คำตอบคือ “ไม่ได้แล้ว”

Top Talent รุ่นใหม่ ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนเดิมอีกต่อไป

พวกเขาไม่จำเป็นต้องจบสาขาที่ตรงกับงาน แต่สามารถสร้างผลงานได้จริงจาก Transferable Capability เช่น

  • หลายคนเรียน Design แต่เก่งด้าน Product Thinking
  • เรียน Marketing แต่เข้าใจ Data และ Growth Hacking หาเส้นทางการเติบโตใหม่ให้องค์กร
  • หรือแม้แต่เรียนวิศวกรรม แต่ทำงานด้าน Business Development ได้อย่างยอดเยี่ยม

เพราะโลกการเรียนรู้เปิดกว้างขึ้นกว่าเดิม  — ใคร ๆ ก็สามารถอัปสกิลใหม่ได้ตลอดเวลา

‍“Top Talent รุ่นใหม่” คือใคร และต่างจากสมัยก่อนยังไง

Top Talent รุ่นใหม่ (Next-gen Talent) ไม่ได้ถูกนิยามด้วยวุฒิการศึกษา แต่ด้วย “วิธีคิดและ สมรรถนะในการปรับตัว”

พวกเขามักมีคุณลักษณะเด่น 5 ด้านที่องค์กรต้องมองหา

  1. Learning Agility: เรียนรู้เร็ว ปรับตัวไว พร้อมทดลองสิ่งใหม่
  2. Purpose-driven Mindset: มองหางานที่มีความหมาย ไม่ใช่แค่ตำแหน่งหรือรายได้
  3. Digital & Data Literacy: ใช้เทคโนโลยีได้คล่อง เข้าใจข้อมูล และต่อยอดได้จริง
  4. Collaboration & Empathy: ทำงานข้ามทีม ข้ามฟังก์ชันได้ดี มีมนุษยสัมพันธ์และเข้าใจผู้อื่น
  5. Transferable Capability: ดึงสมรรถนะจากประสบการณ์เดิมมาใช้กับบริบทใหม่ได้

แล้วในบทบาทขององค์กร ต้องเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกคนยังไง ให้เจอ Top Talent ตัวจริง

1. เปลี่ยนจาก “ดูโปรไฟล์” → เป็น “ดู Capability”

องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้แนวทาง Capability-based Hiring

ในยุคที่โลกการทำงานไม่ได้จำกัดอยู่แค่สาขาที่เรียนมาอีกต่อไป “การดูโปรไฟล์” อย่างเดียวไม่พออีกแล้ว เพราะใบปริญญาไม่สามารถสะท้อนได้ว่าคน ๆ นั้น “คิด” หรือ “แก้ปัญหา” อย่างไร

ตัวอย่าง เช่น:

  • จบคณะนิเทศศาสตร์ แต่ปัจจุบันทำงานเป็น UX Researcher ได้อย่างโดดเด่น เพราะมี Capability ด้าน Empathy, Data Interpretation และ Systematic Thinking ที่มาจากการทำงานด้านสื่อสารผู้ใช้มาก่อน
  • จบวิศวกรรมโยธา แต่ย้ายมาเป็น Business Analyst เพราะมี Analytical Mindset และ Problem-solving skill ที่แข็งแรง แม้จะไม่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจโดยตรง
  • จบสายศิลปะ แต่กลายเป็น Content Strategist มือทอง เพราะมี Strategic Thinking และ Communication Skill ที่ดีเยี่ยม

สิ่งที่องค์กรควรทำ คือ “มองให้ลึกกว่า CV” ด้วยการใช้ Capability-based Assessment เพื่อค้นหาว่า

“ผู้สมัครคนนี้มีสมรรถนะที่สอดคล้องกับสิ่งที่งานต้องการหรือไม่ แม้เขาจะยังไม่เคยทำมาก่อน?”

การวัด Capability จึงเป็นเหมือน “เครื่องสแกนสมรรถนะ” ที่ช่วยให้เห็นคนเก่งที่ซ่อนอยู่ใน Candidate Pool จำนวนมาก — คนที่อาจไม่ได้มี่ CV ตรงสาย แต่มี Capability ที่จะสร้างผลลัพธ์ได้จริง

2. ใช้ Situational-Based Assessment เพื่อดู “Performance จริงก่อน Day 1”

หนึ่งในวิธีที่หลายองค์กรระดับโลกเริ่มนำมาใช้คือการให้ผู้สมัคร “ลองแก้ปัญหาจริง” ผ่าน
Situational-based Interview หรือ Simulation Assessment

แทนที่จะถามเพียงว่า “คุณเคยทำอะไรมา”
องค์กรสามารถดูว่า “ถ้าเจอสถานการณ์นี้ คุณจะตัดสินใจอย่างไร”

ตัวอย่าง เช่น

  • ถ้าคุณเป็น Sales Manager แล้วทีมทำยอดไม่ถึงเป้าในเดือนสุดท้าย คุณจะเริ่มจากจุดไหนก่อน?
  • คำตอบที่ผู้สมัครให้ จะสะท้อน แนวทางการ Handle สถานการณ์ต่าง ๆ ที่มักเจอในตำแหน่งนั้น ๆ ทำให้องค์กรรู้ก่อนว่า ผู้สมัคร Match กับงานนั้น ๆ หรือไม่

3. เตรียม Interview Guide ที่ช่วยให้ Manager ถามลึกได้กว่าเดิม

หนึ่งใน Challenge ที่องค์กรส่วนใหญ่เจอ คือ — แม้จะมีคนเก่งเข้ามาใน shortlist แล้ว แต่ Hiring Manager ยัง “ถามไม่ลึกพอ”

แม้ผู้สมัครจะผ่านขั้นตอน Online Capability Assessment มาแล้ว แต่ “ความลึกของข้อมูล” ที่ทำให้เห็นของจริง ยังต้องอาศัย Interview Guide ที่เชื่อมโยงต่อเนื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าคำตอบที่ให้ในระบบ สะท้อนประสบการณ์จริงหรือไม่

ตัวอย่างสถานการณ์:

  • ผู้สมัครตอบใน Online Assessment ว่า

“สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งภายในทีมได้โดยใช้การสื่อสารและการฟังเชิงลึก”
→ ในขั้นตอนสัมภาษณ์ Hiring Manager ควรถามเจาะลึกต่อ เช่น

  • “เล่าเหตุการณ์จริงครั้งหนึ่งที่คุณต้องรับมือกับความขัดแย้งในทีมหน่อยครับ — ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
  • “คุณตัดสินใจเลือกวิธีการพูดคุยแบบนั้นได้ยังไง?”
  • “ผลลัพธ์เป็นอย่างไร และคุณเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นั้น?”

หรือถ้าผู้สมัครระบุใน Assessment ว่ามี Customer Orientation สูง
→ Manager สามารถต่อด้วยคำถามจาก guide เช่น

  • “ในสถานการณ์ที่ลูกค้าไม่พอใจ คุณทำอย่างไรให้เขากลับมามีความเชื่อมั่น?”
  • “คุณวัดความพอใจของลูกค้าในงานที่คุณดูแลอย่างไร?”

แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยยืนยันความถูกต้องของข้อมูล แต่ยังช่วย เชื่อมต่อจากระบบประเมินเข้าสู่การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Interview)

ผลลัพธ์คือ องค์กรจะได้ข้อมูล “ทั้งจากระบบและจากมนุษย์ที่มี human touch” ที่กลั่นกรองอย่างรอบด้าน ก่อนตัดสินใจคัดเลือก

4. ใช้ AI Matching เพื่อคัดคนเร็วและแม่นยำกว่าเดิม

ในโลกของ Recruitment Competition ที่ต้องแข่งขันกับความรวดเร็ว — และ AI คือเครื่องมือที่ทำให้เกิด “ความเร็วแบบมีคุณภาพ

สถิติจาก LinkedIn Talent Report ปี 2024 ระบุว่า

🎯 “Top Talent ส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกงานภายใน 10–14 วันหลังได้รับการติดต่อครั้งแรก”
และกว่า 60% ของผู้สมัครระดับสูงเลือกองค์กรที่ให้ feedback และขั้นตอนรวดเร็วกว่า

นั่นหมายความว่า — ถ้าองค์กรของคุณยังใช้เวลาคัดคนเกิน 3 สัปดาห์

คนเก่งของคุณอาจกลายเป็น “คนเก่งของคู่แข่ง” ก่อนที่คุณจะเรียกสัมภาษณ์ด้วยซ้ำ

AI Matching จึงเข้ามาช่วยให้กระบวนการคัดเลือกเร็วขึ้นโดยไม่ลดความแม่นยำ

  • ระบบสามารถ “จับคู่” ความเหมาะสมระหว่างผู้สมัครกับตำแหน่ง โดยอิงจาก Capability Data, Culture Fit, และ Work Behavior Pattern
  • HR และ Manager จึงเห็น “คนที่เหมาะกับงานที่สุด” ตั้งแต่ต้น
  • ทำให้ Hiring Decision เร็วขึ้นกว่าเดิม 3–5 เท่า แต่ยังมีคุณภาพสูงกว่าแบบ manual

“AI ไม่ได้มาแทนคน แต่ช่วยให้คนทำงานสำคัญได้เร็วกว่าเดิม — โดยเฉพาะการไม่ปล่อยให้คนเก่งหลุดมือ”

5. สร้าง EVP ที่ตรงใจ Top Talent รุ่นใหม่

เพราะการคัดคนเก่งให้เจอ สำคัญพอ ๆ กับ “การทำให้เขาอยากเลือกเรา”

การมี Employee Value Proposition (EVP) ที่ชัดเจนไม่ใช่แค่ “สโลแกนดึงดูดคนเก่ง” แต่คือการ นิยามให้ชัดว่า คนเก่งแบบไหนที่ ‘ใช่’ สำหรับองค์กรเรา

เพราะความจริงคือ — “Top Talent ของแต่ละองค์กรไม่เหมือนกัน”

  • บริษัทเทคโนโลยี อาจมองหา Top Talent ที่มี “Growth Mindset” และ “Innovation Capability”
  • บริษัทพลังงาน อาจมองหาคนที่มี “Sustainability Thinking” และ “Execution Excellence”
  • บริษัทค้าปลีก อาจต้องการคนที่มี “Customer Centricity” และ “Operational Agility”

องค์กรจึงควรเริ่มจากการตอบคำถามภายในว่า

“คนเก่งแบบไหนที่เราต้องการดึงดูด และจะอยู่กับเราอย่างยั่งยืน?”

เมื่อรู้คำตอบแล้ว จึงสร้าง EVP ที่ “สะท้อนทั้งความเป็นจริงภายใน และแรงดึงดูดภายนอก”
เช่น

  • “ที่นี่คือสนามทดลองสำหรับคนที่อยากสร้างของใหม่”
  • “เรามีระบบโค้ชชิ่งที่ทำให้คุณเติบโตเร็วกว่าเส้นกราฟประสบการณ์”
  • “เรามองหาคนที่อยากสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ตัวเลขรายไตรมาส”

การสื่อสาร EVP ให้ชัดตั้งแต่ก่อนเริ่มสรรหา จะช่วยให้คนที่เข้ามา “เข้ากันกับวัฒนธรรมองค์กร” และลดปัญหา Turnover ได้อย่างมีนัยสำคัญ

บทความ Career Minimalism: บทเรียนในการบริหารคนเก่งรุ่นใหม่
ยังสะท้อนชัดว่า คนรุ่นใหม่ให้คุณค่ากับ “การทำงานที่สอดคล้องกับชีวิต” มากกว่าความหรูหราของตำแหน่ง

พร้อมหรือยังที่จะอัปเกรดวิธีคัด Top Talent รุ่นใหม่ ให้ทันโลกการทำงานในอนาคต


เริ่มต้นสร้างระบบสรรหาที่มองเห็น Capability (สมรรถนะ) คนเก่งได้จริง
กับ TalentSphere — AI-powered Capability Assessment Platform
ที่ช่วยองค์กรคัด เลือก และพัฒนา Top Talent ได้อย่างแม่นยำ

👉 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

🔗 สามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่